ปัญหาสิว เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นบนใบหน้าแล้วแก้ไขค่อนข้างยาก พร้อมทั้งใช้เวลานาน รวมไปถึงความละเอียดอ่อนในการรักษา เพราะการรักษาที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปทำให้ปัญหาสิวเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลายคนกังวลใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะสูญเสียความมั่นใจแล้วนั้น โอกาสที่จะหายจากรอยสิวก็รักษาได้ยากเช่นกัน อย่างไรก็ตามวิธีการรักษาสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน แต่อีกหนึ่งช่องทางของการรักษา ลดรอยสิว นั่นก็คือ “คอลลาเจน” นั่นเอง แม้จะมีทั้งข้อดี-ข้อเสียของการกินคอลลาเจน แต่แน่นอนเลยว่าด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในการเป็นตัวช่วยเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว รวมทั้งอวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่คอลลาเจนเข้าไปมีส่วนร่วมจนกลายเป็นโปรตีนชนิดสำคัญที่ร่างกายต้องการนั่นเอง สำหรับในวันนี้พวกเราได้รวบรวมคำตอบเกี่ยวกับ คอลลาเจนลดรอยสิว ว่าจะช่วยได้จริงหรือไม่ ? ซึ่งจะมีทั้งวิธีการแนะนำ เคล็ดลับการเลือกประเภทของคอลลาเจนที่จะทำให้เห็นผลได้ชัดเจนที่สุด
คอลลาเจนลดรอยสิวได้จริงหรือ ?
ปัญหาเรื่องสิว ที่ไม่สิวเลยสำหรับผู้ที่ประสบเรื่องนี้ นอกจากการรักษาที่ยาก พร้อมยังต้องอดทนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือ มลภาวะต่าง ๆ ยังคงหนีไม่พ้นหลังจากที่สิวหายก็ทิ้งรอยสิวเอาไว้ ไม่ว่าจะบีบสิว หรือ ไม่ได้บีบ รอยสิวมักจะเกิดขึ้นทุกครั้งหลังจากที่หายแล้ว ที่สำคัญจุดด่างดำ กับ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ก็สามารถพบเห็นได้หลังจากที่สิวหายนั่นเอง แน่นอนเลยว่ามีหนึ่งช่องทางที่สามารถลดรอยสิวได้นั่นก็คือ การได้รับ “คอลลาเจน” เข้าสู่ร่างกายนั่นเอง
คอลลาเจน จำเป็นต่อร่างกายแค่ไหน? บอกเลยว่าสำคัญมาก เพราะด้วยเหตุผลที่ว่า คอลลาเจน คือ เส้นใยโปรตีนในร่างกาย ที่จะเข้าไปช่วยซ่อมแซมผิวหนังให้แข็งแรง พร้อมทั้งปรับสภาพของผิวให้ดูเรียบเนียน กระชับ ชุ่มชื้น ทำให้ผิวสุขภาพดี อีกทั้งในปัจจุบันนี้คอลลาเจนบางยี่ห้อก็ยังมีส่วนผสมที่ไปช่วยในเรื่องของผิวกระจ่างใส พร้อมทั้งลดรอยสิว สารสกัดวิตามินซีธรรมชาติ ที่ทำให้คุณเห็นผลได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของคอลลาเจนที่ส่งผลให้ผิวหน้า ผิวกาย รวมไปถึงร่างกายดูแข็งแรงขึ้น นี่จึงเป็นประโยชน์ของโปรตีนชนิดนี้ที่ช่วยให้รอยสิวดูจางลงได้นั่นเอง
คอลลาเจนช่วยลด หลุมสิว
ในหัวข้อนี้จะขอพูดถึง “คอลลาเจน” ว่าสามารถช่วยลดรอย หลุมสิวได้ เพราะคุณสมบัติที่ช่วยสมานแผล จากภายในชั้นหนังแท้ ช่วยบำรุงซ่อมแซมไปสู่ภายนอกได้เป็นอย่างดี จะอธิบายได้ว่าเมื่อสิวของคุณนั้นหายดีแล้ว จะเกิดรอยสิว หรือ หลุมสิวเอาไว้ แต่ในระยะเวลา 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาสร้างแผลเป็นขึ้นมา หลอดเลือดใหม่ก็จะเคลื่อนเข้ามาในบริเวณนั้น โดยคอลลาเจนจะใช้เวลาเกือบ 1 เดือน ที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูรอยสิวในจุดนั้นให้จางลง ดังนั้นการเติมอาหารผิวอย่างคอลลาเจน จึงเป็นเรื่องที่ช่วยให้รอยสิว หลุมสิว ลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
ความมั่นใจที่หายไปสำหรับการเกิดรอยสิวบนใบหน้า หรือ แผลเป็นตามร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคนวัยหนุ่มสาว ที่อาจจะต้องสร้างความมั่นใจจากหน้าตา ถึงแม้ว่าการเป็นสิว จะเป็นเรื่องที่หนักใจมากพอสมควรอยู่แล้ว แต่หลังจากเป็นแล้วก็ต้องหมั่นดูแลตัวเอง รักษาความสะอาด อดทน รอให้เซลล์ผิวฟื้นฟู จึงจำเป็นมากที่จะต้องเพิ่มเติมอาหารผิวอย่าง “คอลลาเจน” อยู่เป็นประจำนั่นเอง อย่างไรก็ตามก็ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพปฏิบัติตามต่อไปด้วย
ควรรับประทานคอลลาเจนอย่างไรเพื่อให้สิวลด
ที่จริงแล้วการรับประทานคอลลาเจน ก็มีวิธี รวมทั้งมีเคล็ดลับที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เห็นผลได้เร็ว อีกทั้งผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เกี่ยวกับการลดสิว หรือ รอยสิว พวกเราก็ไม่พลาดที่จะขอแนะนำ 4 ปัจจัยของการทานคอลลาเจน ว่าควรรับประทานอย่างไร อีกทั้งเคล็ดลับเล็กน้อยที่จะช่วยให้คุณมั่นใจได้เลยว่า “คอลลาเจน” จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเรื่องสิว รอยสิว ให้คุณได้มั่นใจหายห่วงแน่นอน ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามอ่านกันต่อได้เลย
1. “คอลลาเจน” คู่กับวิตามินซี
โดยปกติแล้วการรับประทานคอลลาเจน จะเข้าไปซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอของผิวหนัง กล้ามเนื้อ ข้อต่อ หลอดเลือด โดยผู้ที่รับประทานเป็นประจำจะทราบกันดี แต่อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ใช้แล้วได้ผลก็คือ การรับประทานคู่กับวิตามินซี ที่จะเข้าไปช่วยเร่งให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนได้ดี ที่สำคัญสารต้านอนุมูลอิสระในวิตามินซี ก็ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมให้คอลลาเจนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ดังนั้นแล้วการทานคู่กับวิตามินซี ทั้งรูปแบบของการสกัดเม็ด หรือ วิตามินซีจากผลไม้ อาหาร ก็นับได้ว่าเป็นประเภทนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทานคอลลาเจน และที่สำคัญผู้ที่ออกมาเปิดเผยเคล็ดลับนี้ก็ได้ทดสอบแล้วว่าเห็นผลได้เร็วกว่าการรับประทานคอลลาเจนเพียงอย่างเดียว สำหรับใครที่ปัญหาสิว หรือ มีรอยสิว การรับประทานวิตามินซี ก็จะช่วยลดรอยสิวได้ดีด้วยเช่นกัน
2. ทาน “คอลลาเจน” ต้องออกกำลังกาย
คนรักสุขภาพหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า เมื่อรับประทานคอลลาเจน หรือ อาหารเสริม การออกกำลังกายไม่ต้องทำก็ได้ แต่แท้จริงแล้วควรจะมีการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือ สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะช่วยให้ระบบการทำงานในร่างกายดีขึ้น อวัยวะได้มีการขยับ จะส่งผลให้การเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดี การดูดซึมสารอาหารทำได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนเลยว่า ร่างกายก็จะดูดซึมคอลลาเจน ได้ดีเช่นเดียวกัน
นอกจากนั้นแล้วเมื่อสุขภาพดีจากการออกกำลังกาย การสร้างฮอร์โมนของร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ก็จะช่วยลดการเกิดสิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน และที่จะขาดไปไม่ได้ก็คือ การมีสุขภาพดีจากภายใน จะยั่งยืนกว่าการมีสุขภาพดีแค่ภายนอก
3. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
เมื่อรับประทานคอลลาเจน หรือ วิตามินเสริม ข้อจำกัดอย่างมากเลยก็คือ ปัจจัยเสี่ยงที่คุณเองจะต้องหลีกเลี่ยงให้ได้ในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือ มลภาวะที่ต้องพบเจอในแต่ละวัน จำเป็นมากเลยที่จะต้องทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว ทั้งผิวหน้า รวมทั้งผิวกายด้วย ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แต่งตัวให้มิดชิดให้ส่วนที่เป็นผิวสัมผัสกับแดด หรือ ความร้อนให้น้อยที่สุด เพราะว่าในช่วงที่ทานคอลลาเจน ผิวก็กำลังปรับตัวเช่นกัน อีกทั้งปัญหาสิวอักเสบ หรือ สิวอุดตันจากมลภาวะอาจจะกลับมาทำให้ผิวหน้าดูแย่กว่าเดิมได้เช่นกัน
อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงก็คือ เรื่อง “อาหาร” จะต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบหลัก 5 หมู่ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็ว ที่สำคัญยังส่งผลเสียในระยะยาวต่อสุขภาพด้วย สำหรับใครที่ดื่มอยู่เป็นประจำก็ต้องขอแนะนำให้ลดลงเพื่อผิวสวย และสุดท้ายคือปัจจัยเสี่ยงเรื่องความเครียด กับ การพักผ่อน ที่จะต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพื่อคอลลาเจนจะได้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
4. ทาน “คอลลาเจน” ลดสิว ต้องอดทน
ทำไมกินคอลลาเจนแล้วไม่เห็นผล? เมื่อรับประทานไปสักพักอาจจะเกิดคำถามนี้ แต่สำหรับปัญหาเรื่อง “สิว” ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็กตามชื่อ เพราะผู้ที่ผ่านมาในจุดนี้จะต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่รักษาค่อนข้างยาก ต้องใช้เวลา รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตต้องหันมาดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้น เมื่อเป็นสิว หรือ สิวอักเสบ กว่าจะหายก็ต้องใช้เวลา ส่วนรอยแผล หรือ รอยหลุมสิว ก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วการรับประทานคอลลาเจน ถึงแม้ว่าจะมีสูตรเร่งมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนเห็นผลได้เร็วเพราะร่างกายดูดซึมได้ดี ส่วนบางคนอาจจะเกิดผลช้ากว่า ซึ่งนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะมีความแตกต่างในเรื่องนี้
เพื่อให้สิวลดลง หรือ รอยสิวดูจางลง ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คุณเองจะต้องเรียนรู้ เพราะว่าการรับประทานคอลลาเจนที่เป็นโปรตีนเสริมเพียงอย่างเดียว คงจะยังไม่เพียงพอ เพราะองค์ประกอบอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันจะต้องดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย รวมทั้งสภาพจิตใจ ความเครียด การพักผ่อน โดยทั้งหมดที่กล่าวมาจะเชื่อมโยงกันที่มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ส่งผลให้สุขภาพดี แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้จะเลือกซื้อคอลลาเจนแบบไหน พวกเราก็มาแนะนำเกี่ยวกับ วิธีเลือกคอลลาเจน ที่เหมาะมากสำหรับลดสิวด้วย
แนะนำวิธีเลือกคอลลาเจนสำหรับการลดสิว
หลังจากที่ได้อธิบายปัจจัยที่ทำให้การลดสิว ลดรอยสิว เห็นผลได้เร็วกันไปแล้วนั้น ครามนี้จะขอแนะนำวิธีเลือกซื้อคอลลาเจนกันบ้าง โดยแต่ละวิธีก็จะเหมาะกับการลดรอยสิวด้วยเช่นกัน เพราะว่าคุณสมบัติของโปรตีนชนิดนี้จะโดดเด่นมากในเรื่องการซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอของผิว เอ็น ข้อต่อ รวมทั้งผนังหลอดเลือดด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนจะเลือกซื้อต้องดูอะไรบ้าง ? ติดตามอ่านกันต่อกับ 5 วิธีการเลือกคอลลาเจนลดสิว ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
1.เลือกเพียวคอลลาเจน “ไม่มีอื่น ๆ ผสม”
ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนในปัจจุบันมีเยอะมากหลากหลายแบรนด์ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ตอนนี้ยอดนิยม อีกทั้งยังมีสูตรเข้ามาผสมมากมาย ไม่ใช่คอลลาเจน 100% เพราะบางครั้งอาจจะเสริมด้วยวิตามิน หรือ สารสกัดอื่น ๆ เข้ามาเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคอลลาเจนทั่วไป แต่เรื่องนี้สำหรับกินเพื่อลดสิว หรือ ริ้วรอยจากสิวนั้น ขอแนะนำให้ซื้อผลิตภัณฑ์คอลลาเจนแบบไม่มีสารสกัดอื่นมาผสม เพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดีที่สุดก็คือ คอลลาเจนแบบผงที่ไม่มีส่วนผสมของสี น้ำตาล รวมทั้งการปรุงรสชาติต่าง ๆ ยิ่งไปคอลลาเจนที่บริสุทธิ์มากยิ่งเห็นผล พร้อมทั้งได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่ารูปแบบผสมสารสกัด
แน่นอนเลยว่าข้อดีของการรับประทานคอลลาเจนแบบ 100% จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม และนำไปใช้ได้ดี ที่สำคัญการรับประทานแบบบริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายไร้สารตกค้างอีกด้วย
2.รับประทานคอลลาเจน ให้พอดีต่อร่างกาย
สำหรับคอลลาเจน สามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน หรือ ผู้สูงวัย ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ ผิวพรรณ อาการปวดข้อเข่า ซึ่งเจ้าโปรตีนชนิดนี้จะเข้าไปช่วยซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอ แต่ทว่าความเชื่อของใครหลายคนอาจจะผิดไป เพราะว่าการรับประทานคอลลาเจนที่เกินมากกว่าร่างกายต้องการนั้นจะไม่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น ในทางกลับกันอาจจะส่งผลอันตราต่อร่างกายด้วยซ้ำ
จากคำแนะนำของ องค์การอาหารและยา จะแนะนำให้รับประทานคอลลาเจนเสริมได้ไม่เกินวันละ 10,000 มิลลิกรัม เพราะใครแต่ละวันเราจะได้รับคอลลาเจนจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีน ผัก ผลไม้ กันอยู่เป็นประจำแล้ว ดังนั้นการรับประทานคอลลาเจนเพื่อลดสิว ก็จะต้องเลือกรับประทานให้พอดี พอเหมาะด้วยนั่นเอง
3.เลือกทาน “เปปไทด์ คอลลาเจน”
หลังจากได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานคอลลาเจนไปแล้ว 2 หัวข้อ คราวนี้ขอแนะนำกับชนิดของคอลลาเจน ที่ดีต่อการรักษาริ้วรอย รักษาสิว อย่าง การเลือกรับประทานคอลลาเจนแบบ “เปปไทด์” เพราะผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่เห็นได้ในตลาดนั้น จะเป็นประเภท ไฮโดรไลเสท หรือแบบ ไตรเปปไทด์ โดยข้อดีคือมีต้นทุนต่ำ แต่ด้วยขนาดโมเลกุลที่ไม่สม่ำเสมอ ก็ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมได้หมด ถ้าหากว่าไปเจอโมเลกุลก้อนใหญ่ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้
ดังนั้นการเลือกคอลลาเจนชนิดที่ดีที่สุดอย่าง “เปปไทด์ คอลลาเจน” ที่มีคุณสมบัติโมเลกุลเล็ก ซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที ซึ่งขนาดเล็กที่ว่าของโมเลกุลจะอยู่ที่ 0.3 กิโลดาลตัน ซึ่งเป็นขนาดที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างสบาย
4. เลือก คอลลาเจนที่สกัดจากปลาเล็ก
สำหรับคอลลาเจนของแต่ละแบรนด์นั้นก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยการเลือกที่ดีที่สุดคือ เลือกคอลลาเจนที่สกัดมาจากปลาเล็ก ด้วยเหตุผลในเรื่องของช่วงชีวิตที่สั้น สารตะกั่ว กับ สารตกค้างในปลาเล็กจึงมีความบริสุทธิ์มากกว่าปลาใหญ่ ๆ มากเลย ที่สำคัญเนื้อคอลลาเจนจะใส สะอาด ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายนั่นเอง
5. เลือกแบรนด์ที่มีการรับรอง อย.
ในปัจจุบันยังคงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้มีคอลลาเจนปลอม หรือ มีการผสมสารสกัดที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ เพื่อเข้ามาขายในประเทศ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญในข้อสุดท้ายนี้ คงจะต้องแนะนำว่าให้เลือกแบรนด์คอลลาเจนที่มีความน่าเชื่อถือ ซื้อจากตัวแทน หรือ บริษัทที่ได้รับการรับรองจาก อย. รวมทั้งต้องมีการรับรองด้วยว่าเป็น ฟิช คอลลาเจน 100% อย่างไรก็ตามในปัจจุบันก็อาจจะมีสินค้าปลอม จึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนซื้อนั่นเอง
จะเห็นได้เลยว่าการเลือกซื้อคอลลาเจนนั้น ยังคงต้องมีเกณฑ์ในการตัดสินใจเหมือนกัน เพราะว่าการรักษาสิว หรือ ผิวพรรณ ถ้ามีข้อมูล หรือ ชนิดของคอลลาเจนที่ต้องการซื้อ ก็จะทำให้คุณได้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ “ คอลลาเจนลดรอยสิว ” รวมไปถึงเรื่องของความน่าเชื่อถือ เพราะตอนนี้มีหลายแบรนด์มากที่ออกมาเตือนลูกค้า หรือ ผู้ซื้อว่าอาจจะเจอของปลอม อีกทั้งการเลือกชนิดของคอลลาเจนที่จะส่งผลดีต่อการดูดซึม พร้อมทั้งให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วกับชนิดของ “เปปไทด์ คอลลาเจน” นั่นเอง
เรียกได้ว่าเรื่องราวของ คอลลาเจนลดรอยสิว นั้น ถ้าหากมาเจาะลึกลงไปแล้วค่อนข้างที่จะซับซ้อน แต่เมื่อได้ศึกษาแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเหล่านี้ จะช่วยทำให้คุณทุก ๆ คน มีสุขภาพที่แข็งแรง ผิวพรรณดูสดใส พร้อมเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสิวบนผิวหน้า ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเกิดรอยแผล หรือ หลุมสิว เพราะมีคอลลาเจนเป็นตัวช่วยฟื้นฟูให้สภาพผิวได้กลับขึ้นมาสดใสอีกครั้ง แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากว่าคุณเป็นสิวอักเสบ หรือ ต้องรับประทานยา ฉีดยาจากแพทย์ ก็ควรจะต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพราะปัญหานี้จะต้องใช้เวลาในการรักษาเยียวยา ซึ่งการรับประทานคอลลาเจนก็ต้องใช้เวลาค่อย ๆ ดูดซึมเช่นเดียวกัน และทั้งหมดนี่ก็คือ เรื่องราวของคอลลาเจนที่อธิบายได้เลยว่า ช่วยลดรอยสิว ปัญหาสิว พร้อมทำให้ผิวใสอย่างได้ผล
อ้างอิง :
- วิธีทานคอลลาเจนลดสิว ให้เห็นผลเร็วที่สุด. https://gloryofficialth.com/blogs/news/collagen-skinfood
- 5 วิธีการเลือกคอลลาเจนที่ดีที่สุดให้ร่างกาย. https://www.wongnai.com/beauty-tips/maxxlife-peptide-collagen
- เคลียร์ปัญหาสิวด้วย “คอลลาเจนลดสิว” เปลี่ยนผิวให้เนียนใสเปล่งออร่า. https://vogue.co.th/beauty/collagen-for-acne